ใครมีปัญหาเหล่านี้บ้าง ปวดท้องประจำเดือน ปวดไมเกรน ชาที่มือ เท้า เป็นตะคริว เป็นคนขี้หนาว และอยากให้ลูกสูงแบบขายาว รีบอ่านเลย!!
โครงสร้างหลักของร่างกาย คือ กระดูก ซึ่งก็คือ แคลเซี่ยม
แคลเซี่ยม มีอยู่ในกระดูก 99% และมีอยู่ในเลือดและเนื้อเยี่อ 1%
**ประโยชน์ของแคลเซี่ยม**
1. ช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
2. ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อ
3. กระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ในกระเพาะอาหาร
4. ช่วยปรับสมดุลเกลือแร่และป้องกันการผิดปกติในระยะก่อนมีประจำเดือน
กระดูกต้องใช้แคลเซี่ยมตลอดเวลา ในกระดูกจะมีเซลล์ที่มีชีวิต 2 เซลล์ ที่ทำงานร่วมกัน คือ
Osteoblast มีหน้าที่สร้างกระดูก และ Osteoclast มีหน้าที่สลายกระดูก
ช่วงอายุตั้งแต่เด็ก – 30ปี เซลล์ Osteoblast จะทำการสร้างกระดูกมากกว่า ทั้งขยายขนาด เพิ่มความหนาแน่น และเพิ่มความยาวของกระดูก
พอถึงช่วงอายุ 30 – 45ปี เซลล์ทั้งสองชนิดจะเริ่มทำงานเท่าๆกัน และเป็นช่วงที่กระดูกแข็งแรงที่สุดในชีวิต เมื่อเลยวัย 45ปี จะเป็นช่วงที่ร่างกายสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ซึ่งจะทำให้เรากระดูกเปราะ พรุน และหักง่าย
ความต้องการแคลเซี่ยมของคนไทยโดยประมาณ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับทุกช่วงอายุคือ 1,000 มก./วัน
**แคลเซี่ยมในอาหาร**
**เนื้อสัตว์** ที่ประกอบด้วยแคลเซี่ยมมากที่สุด 5 อันดับแรก จากปริมาณ 100 กรัม
1. กระรอกย่าง มีแคลเซี่ยม 947 มก.
2. นกกระทา มีแคลเซี่ยม 759 มก.
3. เขียดน้อย มีแคลเซี่ยม 542 มก.
4. ลูกอ๊อด มีแคลเซี่ยม 362 มก.
5. ปอดหมูสด มีแคลเซี่ยม 63 มก.
**สัตว์น้ำ** ที่ประกอบด้วยแคลเซี่ยมมากที่สุด 5 อันดับแรก จากปริมาณ 100 กรัม
1. ปูกะตอยทอดกรอบ มีแคลเซี่ยม 3,824 มก.
2. กุ้งแห้งตัวเล็ก มีแคลเซี่ยม 2,305 มก.
3. ปลาร้าผง มีแคลเซี่ยม 2,392 มก.
4. ปลาลิ้นหมาแบบแห้ง มีแคลเซี่ยม 1,913 มก.
5. หอยจูน มีแคลเซี่ยม 1,280 มก.
**ไข่** ที่ประกอบด้วยแคลเซี่ยมมากที่สุดจากปริมาณ 100 กรัม
1. ไข่เป็ด มีแคลเซี่ยม 156 มก.
2. ไข่นกกระทา มีแคลเซี่ยม 153 มก.
3. ไข่ไก่ มีแคลเซี่ยม 126 มก.
อ่านชื่ออาหารแล้ว คิดว่าสามารถหารับประทานได้ง่ายๆมั้ยคับ วิธีกินคือต้องกินทั้งตัวนะ ไม่ง่ายเลยใช่มั้ย? ง่ายสุดคือกินไข่วันละ 9 ฟอง แต่ก็ไม่ไหวอยู่ดีใช่มั้ย?
ตามปกติร่างกายจะมีระบบสมดุลแคลเซี่ยมอยู่แล้ว **แต่ถ้าขาดแคลเซี่ยมในเลือด ร่างกายจะไปสลายกระดูกมาใช้** **ทำให้กระดูกพรุน และบางลง และถ้ายังขาดต่อเนื่องจะมีผลทำให้หงุดหงิดง่าย ชา เกร็ง มือจีบ เป็นตะคริว หรือกล้ามเนื้อหดเกร็ง ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นไว ถ้าขาดแคลเซี่ยมอย่างรุนแรงจะทำให้หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นได้**
**แคลเซี่ยมในท้องตลาดมี 3 รูปแบบ**
1. แคลเซี่ยมคาร์บอเนต เป็นเกลือหินปูน ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ 30% อีก 70% จะสะสมอยู่ในร่างกาย
2. แคลเซี่ยมแบบเม็ดฟู่ ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ 60-65% ที่เหลือสะสมในร่างกาย
3. แคลเซี่ยมแบบอะมิโนแอซิดคีเลต (Amino Acid Chelate) ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ 80%
**Calcium Magnesium Plus**
เป็นแคลเซี่ยมที่อยู่ในรูปแบบอะมิโนแอซิดคีเลต จากงานวิจัยพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ ถึง 87% ที่แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม พลัส ของ Unicity สามารถดูดซึมไปใช้ได้มากกว่า เพราะนักวิทยาศาสตร์ของ Unicity พบว่าร่างกายของคนเราโดยปกติมักไม่ค่อยรับพวกแร่ธาตุหรือเกลือแร่ แต่ถ้าเป็นฟอร์มของกรดอะมิโน ร่างกายจะรับได้ทันที หลายๆยี่ห้อ จึงพยายามพัฒนาแคลเซี่ยมให้เป็นในรูปของอะมิโนแอซิดคีเลตเหมือนกัน แต่ Unicity ก็ยังเหนือชั้นกว่าคู่แข่งขึ้นไปอีก ด้วยการเพิ่มสารอาหารที่ต้องทำงานร่วมกันเข้าไปถึง 5 ตัว รวมเป็น 5 ทหารเสือในการสร้างและปกป้องกระดูก ดังนี้
1. Calcium แร่ธาตุหลักเพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟัน
2. Magnesium สำคัญมากในการสร้างกระดูก อยู่ในกระดูกและฟัน 60% อยู่ในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อน 40% ป้องกันการเป็นตะคริว มีฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อ ปกติถ้าคนเป็นตะคริวกินแต่แคลเซี่ยมเข้าไปจะยิ่งทำให้ปวดเกร็ง เพราะแคลเซี่ยมอย่างเดียวทำให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อกินแคลเซี่ยมเข้าไปยิ่งไปขังบริเวณที่ปวดทำให้ปวดมากขึ้น แต่ถ้ากิน Calcium Magnesium Plus ของ Unicity เข้าไป จะทำให้หายเป็นตะคริวได้ เพราะ Magnesium มีฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อ และ Magnesium จะไปดึง Calcium ที่ขังอยู่ออกมา นอกจากนี้ Magnesium ยังช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยม ช่วยเพิ่มการสร้างกระดูก ช่วยควบคุมการส่งสัญญาณประสาท กระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญอาหารเพื่อสังเคราะห์โปรตีน ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (ใครที่เป็นคนขี้หนาว ต้องกิน Magnesium เสริม ไม่ใช่ไปลดอุณหภูมิแอร์) ผู้สูงอายุควรกิน เพราะช่วยควบคุมสมดุลแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกาย ป้องกันการเกาะตัวของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือดแดง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดไมเกรน ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันโรคซึมเศร้า เป็นตัวข่วยเสริมสร้าง Melatonin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้นอนหลับสนิท
3. Manganese ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง สังเคราะห์พลังงานของร่างกาย
4. Boron ช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูก เพิ่มการสร้างเซลล์กระดูก เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก มีฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน ป้องกันอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือนได้ เพิ่มความสูงของเด็กวัยเรียนได้ ช่วงอายุของเด็กประมาณ ชั้นประถม 4-6 จะเป็นช่วงที่กระดูกยังไม่ยืดติดกัน ดังนั้นถ้ากินเสริมในช่วงนี้ จะทำให้กระดูกยืดยาวขึ้นได้ และเสริมด้วยกันกระโดดเชือก จะทำให้เด็กสูงแบบขายาว
5. Vitamin D ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยม
โดย Calcium Magnesium Plus มีแคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยมในสัดส่วน 2:1 เพื่อความสมดุลในการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
**วิธีรับประทาน**
สำหรับเด็กช่วงวัยประถม 4-6 ที่ต้องการเพิ่มความสูง ควรรับประทาน หลังอาหารเช้า 1 ช้อนชา และหลังอาหารเย็น 1 ช้อนชา
สำหรับวัยทั่วไป ควรรับประทาน 1 ช้อนชา หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน จะช่วยให้ดูดซึมได้ดีและนอนหลับสบาย
**คำแนะนำ**
ในมื้อที่กินแคลเซี่ยม ไม่ควรกินผักใบเขียว และอาหารที่มีกากใยสูง เพราะมีผลทำให้การดูดซึมลดลง